เริ่มตอนนี้ทันไหม? คู่มือการทำ PDPA สำหรับ SMEs และ Startup ใน 10 นาที

ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึง 1 เดือนก่อนที่ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปี 2562 หรือ PDPA จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ค.นี้ องค์กรหรือบริษัทใหญ่ๆก็ได้เริ่มเตรียมการพร้อมในการจัดระบบและให้ความรู้กับพนักงานไปแล้ว หลายๆแห่งมีทีมกฎหมายของตัวเองก็หมดห่วงกันไป แต่ SMEs และ Startup เล็กๆที่ไม่ได้มีกำลังทุนมากมายไปจ้างคนภายนอก และยิ่งหากช่วงนี้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะทำอย่างไรกันดี? โดยในบทความนี้เราจะรวบรวม 3 ขั้นตอนสั้นๆที่จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาในการนั่งหาข้อมูลเพิ่มเติม และสามารถสร้าง Policy ของคุณเองภายใน 10 นาทีเพราะตอนนี้เวลาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เราเชื่อว่าก่อนที่คุณจะเข้ามาอ่านบทความนี้ คุณคงทำความเข้าใจมาพอสมควรแล้วว่า PDPA นั้นคืออะไร ดังนั้นก่อนจะเริ่มลงมือ เราจะมาเข้าใจให้ตรงจุดถึงปัญหาความยากง่ายในการจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวกันก่อน

กำหนดบทบาทยังไง

ควบคุมข้อมูล : บุคคล/นิติบุคคลซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูล ผู้ประมวลผล : มีบทบาท บุคคล/นิติบุคลซึ่งดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ หรือ เปิดเผยข้อมูลตามคำสั่ง หรือ ในนามของผู้ควบคุม (  ต้องเป็นคนละคนกับผู้ควบคุม ) หากมีการเก็บข้อมูลจำนวนมาก ต้องจัดตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ( DPO )คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ( legal, IT, Marketing, Sales, Data controller, Data processor, CRM )ยังไม่มีกำหนดว่าจะต้องมี Certificates เหมือนของ GDPR หรือไม่  แต่สามารถเป็นคนในบริษัทก็ได้ และเป็นตำแหน่งที่ทำพร้อมกับตำแหน่งอื่นได้ เห็นหลายที่ให้คนที่ทำ VP Compliance รับไปค่ะ  หน้าที่หลักคือ ให้คำแนะนำ ตรวจสอบ ประสานงาน ให้บริษัททำหน้าที่ตามกฎหมายได้

มีข้อยกเว้นที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ทำให้การเก็บข้อมูลไม่ต้องได้รับความยินยอม

มีข้อยกเว้นที่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ทำให้การเก็บข้อมูลไม่ต้องได้รับความยินยอม เพื่อจัดทำเอกสารประวัติศาสตร์ จดหมายเหตุ วิจัย สถิติ เพื่อป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต มีความจำเป็นเพื่อปฏิบัติตามสัญญาระหว่างผู้ควบคุมข้อมูลกับเจ้าของข้อมูล มีความจำเป็นเพื่อดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูล หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้ อำนาจรัฐที่ได้รับมอบหมายแก่ผู้คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูล แต่ต้องไม่ ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของเจ้าของข้อมูล เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

องค์กรจะมีหน้าที่ตามกฎหมาย ยังไง

1. การเก็บข้อมูล ต้องเก็บข้อมูลจากเจ้าของข้อมูลเท่านั้น ห้ามเก็บจากแหล่งอื่น ต้องแจ้งสิทธิ รายละเอียด และวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูล ให้เจ้าของข้อมูลรับทราบเสมอ และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสมอ เก็บเท่าที่จำเป็น ชอบด้วยกฎหมาย และต้องลบเมื่อพ้นระยยะเวลาที่จำเป็นหรือที่ได้แจ้งไว้ การขอความยินยอม (Consent) นั้น จะต้องให้เจ้าของข้อมูลสามารถ ทำผ่านกระดาษ หรือ ระบบออนไลน์ก็ได้ อ่านง่าย เข้าใจง่าย ไม่หลอกลวงให้เข้าใจผิด แยกชัดเจนจากเงื่อนไขอื่นๆ และไม่เอาเงื่อนไขอื่นมาผูกพันธ์ การถอนความยินยอม (Consent) นั้น จะต้องให้เจ้าของข้อมูลสามารถ ทำเมื่อไหร่ก็ได้ ทำได้ง่ายเช่นเดียวกับการให้ความยินยอม แจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงผลกระทบ 2. การใช้และเปิดเผยข้อมูล ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสมอ และจะต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เท่านั้น 3. การเข้าถึงและแก้ไข ต้องมีช่องทางให้เจ้าของข้อมูลสามารถเข้าถึงข้อมูลของตัวเอง และแก้ไขได้ เช่น เวบ CRM หรือ Call Center 4. การโอนข้อมูลไปต่างประเทศ ปลายทางจะต้องมีมาตรฐานการคุ้มครองที่เพียงพอ ( เช่น […]

ใจความของตัวพรบ. คือการให้สิทธิเหล่านี้แก่ของเจ้าของข้อมูล

ใจความของตัวพรบ. คือการให้สิทธิเหล่านี้แก่ของเจ้าของข้อมูล สิทธิที่จะได้รับแจ้ง สิทธิในการแก้ไข สิทธิในการได้รับและโอนถ่ายข้อมูล สิทธิในการเข้าถึง สิทธิคัดค้าน สิทธิในการลบ (ถูกลืม) สิทธิในการจำกัด สิทธิในการเพิกถอนคำยินยอม โดยพรบ.กำหนดระยะในการทำตามคำร้องขอให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน

แล้วมีเก็บข้อมูลใดของผู้บริโภคอยู่บ้างที่เข้าข่าย ?

ความหมายของข้อมูลส่วนบุคคลตามพรบ.นี้ คือ ข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม  ที่ถูกเก็บทั้งแบบ Online และ Offline ซึ่งหมายความกว้างมาก คีย์อยู่ที่การทำให้การระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน รูปถ่าย ประวัติการทำงาน อายุ ( หากเป็นเด็ก จะต้องระบุผู้ปกครองได้ และรับ consent จากผู้ปกครอง ) นอกจากนั้นก็ยังมี Personal Data Sensitive ข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนที่มีการควบคุมเข้มงวดขึ้นมาอีกขั้น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ( ตย. เช่น social media monitoring tools ที่จับประเด็นการเมือง) ความเชื่อทางศาสนา หรือ ปรัชญา ( ตย.เช่น บันทึกการลาบวช ของพนักงาน ) พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม […]

จะเริ่มอย่างไรดี ถ้าอยากทำ PDPA

1 ) องค์กรคุณถูกบังคับใช้พรบ.นี้ด้วยหรือไม่ ?  ถ้าเข้าข่าย 3 แบบข้างล่าง ถือว่าใช่ค่ะ  หากองค์กรของคุณมีการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล ในพรบ.นี้เรียกว่า Data Controller หรือ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล  ตัวอย่าง เช่น ร้านค้าที่เก็บรายชื่อลูกค้าเป็น Excel เก็บไว้, Kerry ส่งของ หรือ องค์กรใหญ่อย่าง AIS หากองค์กรคุณเป็นหน่วยงานที่ผู้ควบคุมข้อมูลว่าจ้างให้ประมวลผลข้อมูลของลูกค้าหรือของบุคคลใดๆ ตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล ในพรบ.นี้เรียกว่า Data Processor หรือ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หากองค์กรของคุณอยู่นอกประเทศไทย แต่มีการเสนอขายสินค้าให้กับลูกค้าในประเทศไทย มีการโอนถ่ายข้อมูล หรือ เฝ้าติดตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  เช่น Online Targeting Ads, การรับจองโรงแรมผ่านเวบไซต์

บทลงโทษ

บทลงโทษของต่างประเทศ GDPR ของทางสหภาพยุโรป ปรับสูงสุด 20 ล้านยูโร หรือ 4% ของรายได้รวมทั้งปีของธุรกิจ แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะมากกว่า PDPA ของสิงคโปร์ ปรับสูงสุด 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ PDPA ของมาเลเซีย ปรับสูงสุด 500,000 ริงกิต บทลงโทษจาก PDPA ของไทย ถือว่ารุนแรงกว่า GDPR ของยุโรป คือ มีโทษจำคุกด้วยซึ่งกรรมการบริษัทคือผู้รับโทษนี้ ขณะที่ GDPR มีเฉพาะโทษทางเแพ่งอย่างเดียว โทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 1 ปี และ/หรือ ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท โทษทางแพ่ง จ่ายสินไหมไม่เกิน 2 เท่าของสินไหมที่แท้จริง โทษทางปกครองปรับไม่เกิน 5 ล้านบาท GDPR ใช้เวลาเพียง 2 ปีก็สามารถแผลงฤทธิ์ใส่องค์กรใหญ่ๆไปได้หนักหน่วงทีเดียว […]

องค์กรคุณพร้อมหรือยัง ? นับถอยหลังวันเริ่มใช้ PDPA พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคล

พรบ.นี้มีผลกับทุกองค์กรทั่วโลกที่เก็บข้อมูลของคนไทย จึงไม่มีองค์กรไหนสามารถทำเพิกเฉยกับมันได้ กับพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 หรือที่เรียกกันว่า PDPA ( Personal Data Protection Act )  ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบวันที่ 27 พ.ค.2563 นี้แล้ว คือ อีก 3 เดือนเท่านั้น เริ่มตอนนี้ก็ยังทันนะคะ โดยบทความนี้จะช่วยท่านผู้บริหารและ CEO ให้เข้าใจผลของการมีพรบ.นี้มากขึ้น และเราได้เตรียม Roadmap การเตรียมพร้อมขององค์กรท่านมาไว้ให้ด้วย หากท่านยังไม่แน่ใจว่าการมีกฎหมายนี้อาจสร้างความเสี่ยงให้บริษัทได้มากแค่ไหน ลองดูกรณีศึกษาจากต่างประเทศที่มีการใช้กฎหมายนี้มาก่อนเราที่มีการปรับมาแล้วหลากหลายรูปแบบ Facebook ทำรายได้ มากถึง 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2018 แต่โดนปรับจาก FTC กรณีละเมิดสิทธิ์ไปประมาณ  5 พันกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ คิดเป็นประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด จากกรณีแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคนให้บริษัท Cambridge Analytica วิเคราะห์ความคิดเห็นของประชาชนด้านการเมือง […]